
หน้าฝนแบบนี้! อย่าชะล่าใจ 14 จุดสำคัญที่ต้องเช็คหลังลุยน้ำท่วม
ขับรถลุยน้ำท่วมหน้าฝนมาแล้ว อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีอะไร สบายใจได้ ! หลังจากที่รถลุยน้ำท่วม ผ่านถนนที่น้ำขัง ควรรีบตรวจสอบความเรียบร้อยของรถโดยเร็ว เพราะอาจมีบางส่วนที่เกิดความเสียหายได้ ถ้าละเลยอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ในอนาคต
สังเกตการณ์หลังพ้นวิกฤตน้ำท่วม
ทันทีที่คุณขับรถพ้นจากบริเวณน้ำท่วม สิ่งแรกที่ควรทำคือการสังเกตและรับฟังความผิดปกติของรถยนต์เบื้องต้น ดังต่อไปนี้
1. ระบบเบรก: ลองย้ำเบรกเบาๆ หลายครั้งเพื่อไล่น้ำและความชื้นออกจากระบบ หากรู้สึกว่าเบรกไม่ตอบสนองเท่าที่ควร หรือมีเสียงดังผิดปกติ ควรรีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
2. การควบคุมพวงมาลัย: สังเกตว่าพวงมาลัยยังควบคุมได้แม่นยำหรือไม่ หากรู้สึกหนัก ฝืด หรือมีเสียงดังขณะหมุน อาจเป็นสัญญาณของความเสียหายในระบบบังคับเลี้ยว
3. เสียงเครื่องยนต์: ฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ว่ายังคงราบรื่นหรือไม่ หากมีเสียงแปลกๆ สั่นผิดปกติ หรือดับกลางทาง ควรรีบดับเครื่องและตรวจสอบเบื้องต้น
4. กลิ่นภายในรถ: ดมกลิ่นภายในห้องโดยสาร หากมีกลิ่นเหม็นอับชื้น หรือกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย อาจบ่งบอกถึงน้ำที่ซึมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของรถ
เมื่อถึงที่ปลอดภัย ตรวจสอบรอบคันอย่างละเอียด
เมื่อคุณนำรถมายังพื้นที่แห้งและปลอดภัยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบรถยนต์อย่างละเอียดในทุกซอกทุกมุม โดยให้ตรวจสอบบริเวณดังต่อไปนี้
1. ภายนอกรถ
ตัวถัง: มองหาร่องรอยคราบโคลน เศษขยะ หรือสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ตามซุ้มล้อ ใต้ท้องรถ และตามส่วนต่างๆ ของตัวถัง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันการกัดกร่อน
ระบบไฟส่องสว่าง: ตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟเบรก ว่ายังทำงานเป็นปกติหรือไม่ และไม่มีหยดน้ำหรือความชื้นเข้าไปภายในโคมไฟ
ท่อไอเสีย: ตรวจสอบว่ามีน้ำขังอยู่ในท่อไอเสียหรือไม่ หากมี ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญช่วยนำน้ำออก เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเครื่องยนต์
ยางรถยนต์: สังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษแก้ว หรือตะปู ติดอยู่หรือไม่ และตรวจสอบแรงดันลมยางว่ายังอยู่ในระดับปกติ
2. ภายในรถพรมและพื้นรถ: ตรวจสอบว่าพรมและพื้นรถเปียกชื้นหรือไม่ ควรรีบนำพรมออกมาตากแดดให้แห้งสนิท และใช้ผ้าหรือเครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำออกจากพื้นรถให้มากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์
เบาะนั่ง: ตรวจสอบเบาะนั่งทุกตำแหน่งว่าเปียกชื้นหรือไม่ หากเปียก ควรใช้ผ้าสะอาดซับน้ำออกให้มากที่สุด และเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศ หรือใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้งสนิท
ระบบไฟฟ้า: ทดลองเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในรถ เช่น ไฟภายในห้องโดยสาร ระบบปรับอากาศ วิทยุ กระจกไฟฟ้า และที่ปัดน้ำฝน ว่ายังทำงานปกติหรือไม่ หากพบอาการขัดข้อง ควรรีบนำรถไปตรวจสอบระบบไฟฟ้า
3. ห้องเครื่องยนต์
ระดับของเหลว: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น และน้ำมันเบรก ว่ามีสีผิดปกติ (เช่น สีขุ่นคล้ายนม) หรือระดับสูงขึ้นกว่าปกติหรือไม่ ซึ่งอาจบ่งบอกว่ามีน้ำเข้าไปปะปน ควรรีบนำรถไปเปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่
กรองอากาศ: เปิดฝากรองอากาศและตรวจสอบว่ากรองอากาศเปียกชื้นหรือมีสิ่งสกปรกหรือไม่ หากเปียก ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพราะกรองอากาศที่ชื้นจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
สายไฟและขั้วต่อ: ตรวจสอบสายไฟและขั้วต่อต่างๆ ว่ามีคราบน้ำ คราบโคลน หรือร่องรอยการกัดกร่อนหรือไม่ ทำความสะอาดและฉีดสเปรย์ป้องกันความชื้นหากจำเป็น
ชิ้นส่วนเครื่องยนต์: สังเกตภายนอกเครื่องยนต์ว่ามีคราบน้ำหรือโคลนติดอยู่หรือไม่ หากพบ ควรรีบล้างทำความสะอาด
4. ช่วงล่าง
ระบบเบรก: หากก่อนหน้านี้รู้สึกถึงความผิดปกติขณะเบรก ควรรีบนำรถไปให้ช่างตรวจสอบระบบเบรกอย่างละเอียด รวมถึงผ้าเบรก จานเบรก และน้ำมันเบรก
ลูกปืนล้อ: ลองฟังเสียงขณะขับขี่ หากมีเสียงหอนดังขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าลูกปืนล้อได้รับความเสียหายจากน้ำ
ส่วนประกอบอื่นๆ: ตรวจสอบโช้คอัพ ลูกหมาก เพลาขับ และส่วนประกอบอื่นๆ ว่ามีคราบโคลนหรือความเสียหายหรือไม่
สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม
ล้างรถอย่างละเอียด: หลังจากตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ควรนำรถไปล้างทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในอย่างละเอียด เพื่อกำจัดคราบสกปรกและป้องกันการเกิดสนิมในระยะยาว
ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณไม่แน่ใจ หรือพบความผิดปกติใดๆ ก็ตาม ควรรีบนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาและรับคำแนะนำในการดูแลรักษารถยนต์หลังน้ำท่วมอย่างถูกต้อง
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด
อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ หากสงสัยว่ามีน้ำเข้าไปในเครื่องยนต์! การพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่มีน้ำขังอยู่ภายในกระบอกสูบ อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ หรือที่เรียกว่าภาวะ "Hydrostatic Lock" ควรรีบติดต่อช่างผู้ชำนาญเพื่อนำรถไปตรวจสอบและแก้ไขอย่างถูกวิธี
การตรวจสอบรถหลังจากลุยน้ำท่วม เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงได้ การตรวจสอบจุดต่าง ๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า ระบบช่วงล่าง ระบบระบายความร้อน ภายในรถ และตัวถังรถ จะช่วยให้เรามั่นใจว่ารถปลอดภัยและพร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์