
ซื้อรถมือสองต้องรู้! 3 วิธีเช็กประวัติรถมือสองก่อนซื้อ ป้องกันโดนหลอก
3 วิธีการเช็กประวัติรถมือสองเพื่อความอุ่นใจ
1.ตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ของตัวรถ
ก่อนสิ่งอื่นใด นอกเหนือจากการตรวจสอบสภาพตัวรถตามขั้นตอนปกติของการซื้อรถมือสองแล้วนั้น ควรตรวจเช็กเอกสารทางทะเบียนด้วยทุกครั้ง เช่น สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ที่ระบุลำดับผู้ครอบครอง, วันที่ครอบครอง, เลขตัวถัง, เลขเครื่องยนต์, สีตัวถัง ฯลฯ จะต้องตรงกับตัวรถ มีที่มาที่ไปชัดเจน
2.หลีกเลี่ยงการโอนลอย
การโอนลอยเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องจากสะดวกกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย หากเป็นรถที่ซื้อจากเต๊นท์มือสองที่มีชื่อเสียง ไว้ใจได้ ก็คงไม่มีปัญหานัก (เพราะหากมีปัญหาในการโอนขึ้นมาจริงๆ ก็ยังมีหลักฐานชัดเจนเพื่อดำเนินการอื่นต่อไป) แต่กรณีเป็นการซื้อกับผู้ขายโดยตรง หากผู้ขายทราบดีอยู่แล้วว่าการได้มาของรถผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถโอนเป็นชื่อผู้ซื้อได้นั้น ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกลอยแพได้
ดังนั้น การโอนรถจึงควรจับมือไปโอนที่สำนักงานขนส่งทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
3.ตรวจเช็กประวัติกับขนส่งฯ
หากมีข้อมูลเบื้องต้นของตัวรถ เช่น เลขทะเบียน, รหัสตัวถัง ฯลฯ สามารถตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานขนส่งในพื้นที่ได้ เพื่อตรวจสอบถึงประวัติการชำระภาษี, การกระทำผิดกฎหมาย หรือการจดทะเบียนไม่ถูกต้อง จะช่วยให้สบายใจได้ว่ารถที่เราซื้อมานั้นขาวสะอาด ไร้ปัญหากวนใจในอนาคตครับ
เอกสารขอเช็กประวัติทะเบียนรถ กรมขนส่ง
เมื่อต้องการยื่นคำร้องขอดำเนินการตรวจสอบประวัติทะเบียนรถที่กรมขนส่ง คุณจำเป็นต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม เอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้
- บัตรประชาชนตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
- หนังสือรับรองนิติบุคลตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ (ผู้มีอำนาจต้องเซ็นรับรองด้วย)
- สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจลงนามแทนนิติบุคคล 1 ฉบับ
- หนังสือนำส่งเรื่อง หรือเอกสารของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมาย กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลที่มีอำนาจตาม- - กฎหมายเป็นผู้ขอตรวจสอบ 1 ฉบับ
- สำเนาหนังสือแต่งตั้งตัวแทนบริษัทประกันภัย 1 ฉบับ (กรณีมอบให้บริษัทประกันเป็นผู้ตรวจสอบ)
- สำเนาหนังสือแต่งตั้งทนายความ หรือใบอนุญาตทนายความ 1 ฉบับ (กรณีมอบให้ทนายความเป็นผู้ตรวจสอบ)
- สำเนาหมายศาลหรือคำสั่งศาล 1 ฉบับ
- ใบแจ้งความหรือบันทึกประจำวันตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
- เล่มทะเบียนรถตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
- เอกสารการซื้อขายรถตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
- หนังสือการถอนอายัดทะเบียนตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
- หลักฐานการรับรถคืนตัวจริงและสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ
เมื่อทำการยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เจ้าหน้าที่จะใช้เวลาในการดำเนินการและตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
สรุปบทความ
เมื่อได้ทราบวิธีเช็กประวัติรถมือสองกันไปแล้ว ใครที่กำลังวางแผนว่าจะซื้อรถมือสองไปใช้งาน ก็อย่าลืมนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ในการเช็กทะเบียนรถเพื่อป้องกันการโดนย้อมแมวขาย สำหรับคนที่ต้องการเช็กทะเบียนรถที่กรมการขนส่งทางบก ก็อย่าลืมเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว