คำเตือน! ถ้าปล่อยไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อย รถพังได้ง่ายๆ
คำเตือน! ถ้าปล่อยไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อย รถพังได้ง่ายๆ

คำเตือน! ถ้าปล่อยไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อย รถพังได้ง่ายๆ

ไฟน้ำมันเตือน รถวิ่งต่อได้อีกไกลแค่ไหน

ขับรถไปไหนไม่ว่าระยะใกล้หรือไกล สิ่งที่ต้องให้ตวามสำคัญไม่ต่างกันก็คือน้ำมันรถ เพราะคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุน้ำมันหมดกลางทางเป็นแน่! แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ชอบเติมน้ำมันตอนที่ใกล้จะหมดถังแล้ว บ้างก็รอเติมช่วงน้ำมันลดราคา หรือเติมก่อนที่จะขึ้นราคาในวันรุ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถของคุณจะมีไฟน้ำมันเตือนแล้วก็ยังสามารถขับต่อไปได้ ซึ่งหากเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ มักจะมีระบบแจ้งเตือนระยะทางคงเหลือจากการคำนวณปริมาณน้ำมันในถังมาให้ด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถขับขี่ไปได้ไกลแค่ไหนก่อนจะหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดได้ทัน

แม้ว่าเข็มแสดงปริมาณน้ำมันจะแจ้งว่าน้ำมันรถของเราอาจจะเกลี้ยงถัง โดยอยู่ในตำแหน่ง Empty แล้ว แต่ในความเป็นจริงรถยังคงมีน้ำมันเหลืออยู่ประมาณ 4-6 ลิตร  (ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น)  ซึ่งเราสามารถคำนวณคร่าว ๆ ได้เช่นกัน โดยนำมาคูณกับอัตราการกินน้ำมันรถ

อาทิ รถที่ขับมีอัตรากินน้ำมันอยู่ที่ 15 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อไฟน้ำมันเตือนระยะทางที่รถยังสามารถวิ่งได้จะเท่ากับ 15 x 6 = 90 กิโลเมตรนั่นเอง แต่ถ้าเราขับขี่รถในเมืองที่อาจจะต้องเจอกับรถติด จอดติดไฟแดงบ้าง ตัวเลขระยะทางที่วิ่งก็อาจจะน้อยกว่านั้น

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ 

1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์
ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน

เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง
ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย

ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด
สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง
นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง