
การขับรถชนเสาไฟฟ้าถือเป็นอุบัติเหตุที่อาจทำให้คุณต้องจ่ายค่าเสียหายสูงมาก เพราะไม่ใช่แค่ค่าเสาอย่างเดียว แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ราคาเสา แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์และค่าดำเนินการต่างๆ ดังนี้:
ค่าเสาไฟฟ้า: ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภท
เสาไฟฟ้าแรงต่ำ (8-12 เมตร): ราคาประมาณ 10,000 - 50,000 บาท
เสาไฟฟ้าแรงสูง (12-22 เมตรขึ้นไป): ราคาเริ่มต้น 50,000 - 200,000 บาท หรือมากกว่า
ค่าอุปกรณ์ประกอบ: เป็นส่วนที่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมาก
หม้อแปลงไฟฟ้า: ราคาตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน
สายไฟฟ้าและสายเคเบิล: คิดตามความยาวและความเสียหาย
ลูกถ้วย, อุปกรณ์ยึดโยง: แม้จะชิ้นเล็ก แต่รวมกันก็เป็นเงินไม่น้อย
สายสื่อสาร (Internet/Cable TV): อาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้บริษัทเอกชนด้วย
ค่าดำเนินการและค่าแรง: ค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าประมาณ 2,000 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย
สรุป: หากชนแค่เสาไฟฟ้าแรงต่ำที่ไม่มีอุปกรณ์ซับซ้อน อาจเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 - 60,000 บาท แต่ถ้าชนเสาใหญ่ที่มีหม้อแปลง ค่าเสียหายอาจพุ่งสูงถึง 500,000 - 1,000,000+ บาท ได้
ตั้งสติและดูแลความปลอดภัย: ตรวจสอบตัวเองและผู้โดยสาร ถ้ามีคนเจ็บ ให้รีบโทร 1669
แจ้งตำรวจ (191) และบริษัทประกันทันที: ห้ามหนีเด็ดขาด เพราะเป็นทรัพย์สินราชการ
รอเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า: ตำรวจจะประสานงานให้การไฟฟ้ามาประเมินความเสียหาย
ให้ประกันจัดการ: หากมีประกันชั้น 1 บริษัทประกันจะเข้ามาดูแลค่าเสียหายของคู่กรณี (การไฟฟ้า) แทนคุณ
ความคุ้มครองขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณทำ:
ประกันชั้น 1: คุ้มครองครบถ้วน ทั้งค่าซ่อมรถของคุณและค่าเสียหายของเสาไฟฟ้า
ประกันชั้น 2+ และ 3+: โดยทั่วไปคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุ "รถชนรถ" เท่านั้น กรณีชนเสาไฟฟ้า คุณต้องจ่ายค่าเสียหายเอง
ประกันชั้น 3: คุ้มครองเฉพาะค่าเสียหายของคู่กรณี (เสาไฟฟ้า) แต่ไม่ซ่อมรถของคุณ
ดังนั้น การทำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่อาจสูงจนคุณคาดไม่ถึงได้
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการขับขี่อย่างมีสติ ไม่ประมาท และไม่ดื่มแล้วขับ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนท้องถนน