
การติดตั้งหัวชาร์จ EV ที่บ้าน ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามกระแสไฟฟ้าที่ใช้ คือ การชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) และ การชาร์จแบบกระแสตรง (DC) ซึ่งแต่ละแบบมีความแตกต่างกันดังนี้ครับ
การชาร์จแบบ AC (Alternating Current)
ความเร็ว: ช้ากว่าแบบ DC เนื่องจากต้องแปลงกระแสไฟก่อนเข้าสู่แบตเตอรี่ เหมาะสำหรับการชาร์จที่บ้านหรือที่ทำงานข้ามคืน
หัวชาร์จที่ใช้ในไทย:
Type 1 (J1772): พบในรถยนต์ EV รุ่นเก่า ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
Type 2 (Mennekes): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันมากที่สุดในไทยและยุโรป รองรับทั้งไฟ 1 เฟส และ 3 เฟส ทำให้ชาร์จได้เร็วกว่า Type 1
การชาร์จแบบ DC (Direct Current)
ความเร็ว: เร็วมาก สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-80% ได้ในเวลาประมาณ 30-60 นาที เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
หัวชาร์จที่ใช้ในไทย:
CCS2 (Combined Charging System 2): เป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับรถยนต์ EV รุ่นใหม่ ในไทยและยุโรป โดยรวมหัวชาร์จ AC Type 2 และ DC เข้าไว้ในหัวเดียว
CHAdeMO (Charge de Move): มาตรฐานจากญี่ปุ่น พบในรถยนต์ EV บางยี่ห้อ เช่น Nissan Leaf
การเลือกว่าจะชาร์จแบบไหนขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ
สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน: ควรใช้การชาร์จแบบ AC ที่บ้านหรือที่ทำงานเป็นหลัก เพราะสะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย และยังช่วย ถนอมแบตเตอรี่ ในระยะยาวมากกว่าการชาร์จเร็วบ่อย ๆ
สำหรับการเดินทางไกล: ควรใช้การชาร์จแบบ DC ที่สถานีชาร์จสาธารณะเพื่อความรวดเร็วในการเติมพลังงานระหว่างทาง
การติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger หรือ Wallbox) ที่บ้านมีความสำคัญอย่างยิ่ง และต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักดังนี้ครับ
1. สำรวจระบบไฟฟ้าของบ้าน: นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มิเตอร์ไฟฟ้าเดิมอาจไม่พอ ควรติดต่อการไฟฟ้าเพื่อเปลี่ยนมิเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น (แนะนำ มิเตอร์ 1 เฟส ขนาด 30(100)A หรือ มิเตอร์ 3 เฟส ขนาด 15(45)A ขึ้นไป) รวมถึงต้องตรวจสอบขนาดสายไฟหลัก (สายเมน) และพื้นที่ในตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก (MDB) ด้วย
2. รู้จักรถยนต์ของคุณ: ตรวจสอบว่ารถยนต์ของคุณใช้ หัวชาร์จ AC แบบ Type 2 และรองรับกำลังไฟ AC ได้สูงสุดเท่าไหร่ เพื่อเลือกเครื่องชาร์จให้เหมาะสม
3. เลือกเครื่องชาร์จ (Wallbox): เลือกเครื่องที่มีกำลังไฟ (kW) สอดคล้องกับขนาดมิเตอร์และที่รถของคุณรับได้ โดยรุ่นยอดนิยมในบ้านคือ 7.4 kW และ 22 kW นอกจากนี้ควรดูฟังก์ชันเสริมและมาตรฐานความปลอดภัยด้วย
4. ติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย: ต้องติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมในตู้ควบคุมไฟฟ้า เช่น RCCB (Residual Current Circuit Breaker) ชนิด Type B ที่ช่วยป้องกันไฟดูดหรือไฟรั่วโดยเฉพาะ
5. เลือกตำแหน่งติดตั้ง: ควรติดตั้งในพื้นที่ร่ม มีหลังคา และอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อยืดอายุการใช้งาน
6. จ้างช่างผู้ชำนาญ: ห้ามติดตั้งด้วยตัวเอง ควรใช้บริการช่างไฟฟ้าหรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานที่ปลอดภัย
การติดตั้ง EV Charger ที่บ้านถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างมากครับ หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตั้งหรือหัวชาร์จแบบต่าง ๆ สามารถสอบถามได้เลยนะครับ