“รถเหินน้ำ” อันตรายที่ต้องระวัง กว่าที่คุณคิด
“รถเหินน้ำ” อันตรายที่ต้องระวัง กว่าที่คุณคิด

“รถเหินน้ำ” อันตรายที่ต้องระวัง กว่าที่คุณคิด   

รถเหินน้ำ คืออะไร?

รถเหินน้ำ (Hydroplaning) คือ อาการที่รถยนต์สูญเสียการยึดเกาะกับพื้นถนน ขณะวิ่งผ่านบริเวณที่มีน้ำขัง โดยเฉพาะที่ความเร็วสูง เนื่องจากยางไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทัน ทำให้มี ชั้นน้ำเข้ามาแทรกระหว่างยางกับผิวถนน จนยางเหมือนลอยอยู่บนน้ำ ส่งผลให้ผู้ขับขี่ ควบคุมรถได้ยากมาก พวงมาลัยไม่ตอบสนอง และรถลื่นไถล

สาเหตุที่ทำให้รถเหินน้ำ

สาเหตุหลักที่นำไปสู่การเหินน้ำ มีดังนี้:

  • 1. ความเร็วที่มากเกินไป: การขับขี่ด้วยความเร็วสูงในช่วงฝนตก ทำให้ยางระบายน้ำไม่ทัน

  • 2. สภาพยางรถยนต์: ยางที่สึกหรอ ดอกยางตื้น หรือมีร่องลึกไม่เพียงพอต่อการรีดน้ำ

  • 3. พื้นผิวถนน: ถนนที่มีน้ำขัง แอ่งน้ำลึก หรือมีรูปร่างไม่เรียบ

  • 4. การขับขี่ในช่วงเวลาฝนตกหนัก: ปริมาณน้ำบนถนนมีมาก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงสูง

อาการรถเหินน้ำที่ควรสังเกต

อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่ารถกำลังเหินน้ำ และมีความเสี่ยงสูงต่ออุบัติเหตุ:

  • รถสูญเสียการควบคุมกะทันหัน: รถเคลื่อนออกนอกเส้นทาง หรือเลี้ยวผิดทิศทาง แม้จะบังคับพวงมาลัยหรือเหยียบเบรกแล้วก็ตาม

  • พวงมาลัยเบาผิดปกติ: พวงมาลัยรู้สึกเบาหวิว ไม่ตอบสนองต่อการควบคุม

  • รถไถลหรือหมุน: รถอาจไถล หรือหมุนเสียการควบคุม โดยเฉพาะเมื่อเข้าโค้ง

  • ระบบเบรกไม่ตอบสนอง: เหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าเบรกไม่อยู่ หรือรถยังคงไถลไปต่อ

วิธีป้องกันและรับมือรถเหินน้ำช่วงหน้าฝน

การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด:

การป้องกัน สิ่งที่ต้องทำ
ลดความเร็ว ขับขี่ไม่เกิน 60–80 กม./ชม. เมื่อขับผ่านถนนเปียกหรือมีน้ำขัง
ตรวจสอบดอกยาง ดอกยางควรมีความลึก ไม่น้อยกว่า 3 มม. และหมั่นตรวจสภาพยางสม่ำเสมอ
ตั้งแรงดันลมยาง เติมลมยางให้เหมาะสมตามค่ามาตรฐาน เพื่อประสิทธิภาพในการรีดน้ำที่ดี
หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำลึก หากจำเป็นต้องขับผ่าน ให้ชะลอความเร็ว และจับพวงมาลัยให้มั่นคง
วิธีรับมือ (เมื่อเกิดอาการ) ค่อย ๆ ผ่อนคันเร่ง และ รักษาทิศทางรถให้ตรง ห้ามหักพวงมาลัยหรือเบรกกะทันหัน ให้รอจนยางกลับมายึดเกาะพื้นถนนอีกครั้ง

ข้อสรุปที่สำคัญ: การขับขี่ด้วย ความระมัดระวัง การ ตรวจเช็กสภาพรถและยาง รวมถึงการ ลดความเร็วเมื่อถนนเปียก เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุจากการเหินน้ำครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง