
Lamborghini ลุยขยายฐานลูกค้าคนรวยรุ่นใหม่ เผยอายุเฉลี่ยลูกค้าไทย 41 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ซึ่งล่าสุดทาง Renazzo Motor ผู้จำหน่ายรถยนต์ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม Temerario (เทเมราริโอ) ซูเพอร์คาร์พลัก-อิน ไฮบริดรุ่นล่าสุดจากแบรนด์ “กระทิงดุ” สัญชาติอิตาลี สุดยอดยนตรกรรมหนึ่งเดียวที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบใหม่ล่าสุด ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบสมรรถนะการเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รตน.
Temerario โดดเด่นอย่างเหนือชั้นในฐานะยนตรกรรมรุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ของ Lamborghini ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Revuelto (เรเวลโต) ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผสานกับชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ในขณะที่ Temerario ได้เปิดศักราชใหม่ด้วยขุมพลังพลัก-อินไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบสุดล้ำสมัย ถือเป็นการเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดของ Lamborghini อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการเปิดตัว Urus SE (อูรุส เอสอี) ซูเปอร์เอสยูวี พลัก-อิน ไฮบริด รุ่นแรกของแบรนด์เมื่อปีที่ผ่านมา
จนทำให้ตลาดในประเทศไทยอายุเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่ 41 ปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แต่ยังสูงกว่าตลาดจีนที่กลายเป็นตลาดซึ่งมีลูกค้าน้อยที่สุดด้วยอายุเฉลี่ยเพียง 36 ปี สะท้อนภาพความสำเร็จในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ควบคู่ไปกับการเดินหมากอย่างระมัดระวังบนเส้นทางสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า
การปรับทัพครั้งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของผู้บริหารระดับสูง ทั้ง สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รวมทั้ง ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งชี้ให้เห็นว่า Lamborghini เทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนไปในหลายๆ ด้าน ข้อมูลเชิงลึกของ
Lamborghini เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกลุ่มลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดสำคัญอย่างประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมียอดขายเป็นอันดับ 7 ในเอเชียแปซิฟิก และมีรถยนต์ของแบรนด์บนถนนราว 800 คัน
สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ อายุเฉลี่ยที่ 41 ปี แต่คือโปรไฟล์ลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็น “ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ” ซึ่งแตกต่างจากตลาดในโลกตะวันตกบางแห่งที่ยังคงมีฐานลูกค้าจากกลุ่ม Corporate หรือผู้ที่ร่ำรวยดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความมั่งคั่งของคนรุ่นใหม่ในเอเชีย
อีกหนึ่งพลวัตที่น่าจับตาคือ สัดส่วนลูกค้าผู้หญิงในไทยที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค โดยเฉพาะในรุ่น Urus ที่มีสัดส่วนสูงถึง 23% การขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญผ่านการสร้างพันธมิตรกับแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ เพื่อสร้างจุดสัมผัสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์
ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มุ่งหน้าสู่การใช้ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Full EV) Lamborghini ตัดสินใจประกาศ เลื่อนแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกออกไป 1 ปี จากเดิมที่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นไม่เกินปี 2029 จะเลื่อนออกไปเป็นไม่เกินปี 2030
สเตฟาน ให้เหตุผลว่า “การยอมรับรถซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าในตลาดยังไม่สูงพอ และเทคโนโลยีต้องสมบูรณ์แบบเพื่อรักษา DNA ของแบรนด์ เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรก แต่เมื่อเราลงสนามเราต้องดีที่สุด”
การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ Lamborghini ทุ่มเททรัพยากรไปที่การพัฒนารถยนต์ Plug-in Hybrid (PHEV) สมรรถนะสูง อย่าง Revuelto และ Urus SE ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถยกระดับประสิทธิภาพให้เหนือกว่าเครื่องยนต์สันดาปล้วนรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรักษา “เสียงและจิตวิญญาณ” อันเป็นหัวใจของแบรนด์ไว้ได้ครบถ้วน
ในมิติของธุรกิจ Lamborghini ยอมรับว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงย่อมส่งผลต่อธุรกิจไม่มากก็น้อย เพราะ “เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน” ปัญหาต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือการขาดแคลนชิปสำหรับยานยนต์ก่อนหน้านี้ ทำให้บริษัทต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวัง
“แต่จุดแข็งของ Lamborghini คือ ซัพพลายที่น้อยกว่าดีมานด์เสมอ ลูกค้าที่ต้องการซื้อยังคงต้องรอประมาณ 18 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้ายังยอมรับได้”
อุปทานที่น้อยกว่าอุปสงค์ และการมียอดสั่งซื้อล่วงหน้ายาวนานถึง 18 เดือน ไม่ใช่แค่การสร้างความรู้สึกพิเศษ แต่เป็น ‘กันชน’ ทางธุรกิจที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากความต้องการที่อาจลดลงในระยะสั้น กลยุทธ์นี้ส่งผลโดยตรงให้มูลค่ารถมือสองของ Lamborghini อยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้การซื้อรถไม่ใช่แค่การบริโภค แต่ใกล้เคียงกับการเป็น ‘สินทรัพย์ที่รักษามูลค่า’ (Store of Value) ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดใจอย่างยิ่งในยุคที่ตลาดการลงทุนผันผวน
สำหรับปี 2024 Lamborghini สร้างรายได้ทำสถิติใหม่ที่ 3.09 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับปี 2023 ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 835 ล้านยูโร เติบโต +15.5% จากปีก่อนหน้า จากยอดขายรถทั้งหมด 10,687 คัน สำหรับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 895 ล้านยูโร และส่งมอบรถไปแล้ว 2,967 คัน