นโยบายภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569

รถหรู/รถสปอร์ต (เครื่องยนต์ > 3,000 ซีซี): อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 40% เป็น 50% ทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก (คาดว่า 2-3 ล้านบาท สำหรับรถหรูราคา 6 ล้านบาทขึ้นไป)
ได้รับผลดี:
รถยนต์ทั่วไป: ภาษีจะลดลงจาก 8% เหลือ 2%
รถกระบะ EV: ภาษีจะปรับจาก 0% เป็น 2%
มีการแยกการคำนวณภาษีออกจาก HEV โดยใช้ "ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่อการชาร์จ" (Electric Range) เป็นเกณฑ์หลักแทนการใช้ CO2 และยกเลิกการพิจารณาขนาดถังน้ำมัน
วิ่งด้วยไฟฟ้า $\ge$ 80 กม./ชาร์จ: ภาษี 5%
วิ่งด้วยไฟฟ้า $<$ 80 กม./ชาร์จ: ภาษี 10%
ข้อกำหนดเพิ่มเติม: ต้องติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) อย่างน้อย 2 ระบบ และต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2569

บอร์ด EV มีมติใช้มาตรการภาษีอัตราต่ำ คงที่ 7 ปี (2569 - 2575) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน:
HEV และ MHEV ปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 กรัม/กม.: ภาษีสรรพสามิต 6% (คงที่)
HEV และ MHEV ปล่อย CO2 101 – 120 กรัม/กม.: ภาษีสรรพสามิต 9% (คงที่)
มาตรการนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากมาตรการเดิมที่กำหนดให้ต้องทยอยปรับขึ้นภาษีทุกปีหลังปี 2569
ภาษีแบตเตอรี่: ปรับโครงสร้างเพื่อสนับสนุนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดเกณฑ์ตามค่า Energy Density และ Lifecycle
ภาษีคาร์บอน: อยู่ระหว่างการเตรียมเสนอ ครม. โดยจะเพิ่มกลไกราคาคาร์บอนในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยมีอัตราที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า (คาดว่าไม่กระทบประชาชนโดยตรง)
รถยนต์โบราณนำเข้า: เตรียมจัดเก็บภาษีในอัตรา 45% และจำกัดการใช้งานบนท้องถนนเฉพาะวันหยุดเท่านั้น (คาดเริ่มใช้ปีงบประมาณ 2569)
ผลกระทบโดยรวม:
ส่งเสริม การผลิตและจำหน่ายรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ EV, PHEV (ที่วิ่งไฟฟ้าได้ไกล), HEV และ MHEV
กระตุ้น ตลาดรถหรู/ซูเปอร์คาร์ในช่วงปลายปี 2568 ก่อนที่ภาษีจะขึ้นสูงในปี 2569