
อุตสาหกรรม EV แข่งดุเสี่ยงล้มทั้งอุตสาหกรรม
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) และกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่างออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อ “สงครามราคาอันแสนวุ่นวาย” ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง จากระดับ 4.3% ในปี 2024 เหลือเพียง 3.9% ในไตรมาสแรกปี 2025
ถึงแม้อย่างนั้น BYD ก็ยังสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงถึง 20% จากการควบรวมกิจการแนวดิ่งเพื่อลดต้นทุน ซึ่งทำให้ BYD ผลิตแบตเตอรี่ได้เองกว่า 90% และมีต้นทุนลิเทียมคาร์บอเนตต่ำกว่าที่อื่น 90% สาเหตุที่ BYD ต้องออกมาตรการลดราคาครั้งที่ 3 ในรอบ 2 เดือน เป็นเพราะบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายประจำปี 2025 ไว้ที่ 5.5 ล้านคัน เท่ากับว่า ต้องขายให้ได้ 15,000 คันต่อวัน ขณะที่ยอดขาย 4 เดือนแรก มีเพียง 1.38 ล้านคันเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลกับเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้แทนจำหน่ายรถจีนออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ค่ายรถตั้งเป้าการผลิต และยอดขายให้ “สมเหตุสมผล” หลีกเลี่ยงการทุ่มตลาด และเลิกบังคับให้ตัวแทนจำหน่ายสต๊อกรถจนล้น ซึ่งเดือนเมษายน 2025 จีนมีสต๊อกอีวีบวมสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023
สื่อจีนรายงานว่า ตัวแทนจำหน่ายบางรายต้องเอารถใหม่ที่ขายไม่ออก ไปลดราคาขายเป็นรถมือสอง ด้วยจุดขาย “รถมือสองแต่เลขไมล์เป็นศูนย์” ซึ่งเว่ย เจี้ยนจวิน ประธานบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ออกมาต่อต้านการกระทำดังกล่าว โดยบอกว่ามีตัวแทนจำหน่าย 3,000-4,000 ราย ที่ประพฤติลักษณะเช่นนี้ในแพลตฟอร์มออนไลน์
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า สงครามราคาครั้งล่าสุดนี้ อาจทำให้เกิดจุดพลิกผันสำคัญ เมื่อผู้เล่นรายเล็กไม่สามารถทนขาดทุนได้อีกต่อไป “เจพีมอร์แกน” วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่จากสหรัฐชี้ว่า ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ค่ายรถจีนแข่งกันลดราคาลงถึง 16.8% มากกว่าสองเท่าของการปรับลดราคาตลอดทั้งปี 2024
โรบิน ซิง จากมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า สงครามราคาครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างซัพพลายและดีมานด์ ซึ่งเกิดจากผลของภาวะเงินฝืด แม้ภาครัฐจะพยายามกระตุ้นการบริโภคแล้วก็ตาม แต่ก็ยังยากอยู่ดี ที่จะเร่งการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
หากสงครามราคายังดำเนินต่อไป ผู้เล่นในตลาดจะน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีนคาดว่า จะเหลือค่ายรถใหญ่เพียง 5-7 แบรนด์ นำโดย BYD และ Geely ส่วนแบรนด์อื่น ๆ ที่เหลืออาจต้องควบรวมกิจการเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขันของตลาด
ส่วนผู้บริโภค แม้ระยะสั้นจะได้รับประโยชน์จากราคาที่ถูกลง แต่ก็อาจต้องกังวลปัญหาว่า อาจมีการลดคุณภาพชิ้นส่วน เช่น เหล็กตัวถัง หรือระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เพื่อให้สามารถจำหน่ายรถในราคาต่ำลง
หากทางการจีนปล่อยปัญหาไว้ต่อไป ไม่แน่ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จีนจะไร้ทิศทาง และไม่ยั่งยืนในระยะยาว จนอาจซ้ำรอยความล้มเหลวของอุตสาหกรรมมอเตอร์ไซค์จีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ แต่กลับต้องจบลงด้วยสงครามราคาอันไร้ทิศทาง