พาส่องรถ Ferrari 296 GTB คันใหม่ สีเหลืองอะหล่าม สีโปรดของน้อง LISA
พาส่องรถ Ferrari 296 GTB คันใหม่ สีเหลืองอะหล่าม สีโปรดของน้อง LISA

พาส่องรถ Ferrari 296 GTB คันใหม่ สีเหลืองอะหล่าม สีโปรดของน้อง LISA 

สำหรับน้อง LISA ที่ต้องบอกเลยว่าขยับตัวทางไหน ก็มีแต่คนสนใจ (หนึ่งในนั้นคือชั้นเอง) ก็รักน้องอะแหละ ซึ่งล่าสุดอีกแล้วค่ะทุกคน น้องได้ลงภาพใน IG ส่วนตัว โดยมีแคปชั่นว่า "First half of 2025 flew by" โดยเป็นเสมือนการรีวิวชีวิตผ่านรูปภาพในช่วงต้นปีแรก และหนึ่งในภาพดังกล่าวมีรถซุปเปอร์คาร์ Ferrari 296 GTB สีเหลืองอะหล่าม สีโปรดของน้องอยู่หนึ่งคัน ก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าหรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นของน้องกันนะ? 


ต้องบอกเลยว่าเห็นน้อง สดใสน่ารักๆ แบ๊วกรุปซะขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วน้องก็แอบมีความเท่ ความ Cool อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะรถของน้องแต่ละคัน ต้องบอกเลยว่าแร๊วงงงง จนน่าตกใจ ซึ่ง Ferrari 296 GTB ก็เป็นหนึ่งในตัวแรงของทาง Ferrari และได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับ Ferrari ด้วยการเป็นรถยนต์ถนนรุ่นแรกของแบรนด์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 แบบ Plug-in Hybrid (PHEV) โดยที่ชื่อรุ่น "296" นั้นมาจากการรวมความจุกระบอกสูบ ส่วน "GTB" ย่อมาจาก Gran Turismo Berlinetta บ่งบอกความเป็นรถสปอร์ตคูเป้ที่เน้นเดินทางไกล

296 GTB กับขุมพลัง Plug-in Hybrid V6
Ferrari 296 GTB มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ 2.992cc ให้พละกำลังสูงสุด 654 แรงม้า (663 PS) ที่ 8,000 รอบต่อนาที และถึงแม้จะเป็นเพียง V6 แต่เสียงเครื่องยนต์ของเจ้าคันนี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเร้าใจตามสไตล์ Ferrari

ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า Ferrari เลือกใช้ YASA MGU-K แบบ Axial Flux ขนาด 123 กิโลวัตต์ สามารถผลิตพละกำลัง 165 แรงม้า / 167 PS แรงบิด 232 ปอนด์-ฟุต (290 นิวตันเมตร) ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ทำงานควบคู่กับชุดแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 7.45 kWh ให้ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ประมาณ 25 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุดในโหมด EV ได้ถึง 135 กม./ชม.

Ferrari 296 GTB จึงมีพละกำลังรวมสูงสุดของระบบอยู่ที่ 819 แรงม้า (830 PS) และแรงบิดสูงสุด 740 นิวตันเมตร (546 ปอนด์-ฟุต) และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 2.9 วินาที เท่านั้น รวมถึงทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 330 กม./ชม. แร๊วงงงง ถูกใจน้อง LISA สุดๆ 

การออกแบบตัวถังของ Ferrari 296 GTB มีความ Modern Classic แอบซ่อนความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ มีระยะฐานล้อที่สั้นลง 50 มม. เมื่อเทียบกับ F8 Tributo มันจึงช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการขับขี่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังแบบ Active Spoiler ยกตัวขึ้นอัตโนมัติเมื่อต้องการแรงกดท้าย ที่สามารถสร้างแรงกดได้ถึง 360 กก. ในความเร็ว 250 กม./ชม. (เมื่อติดตั้งแพ็คเกจ Assetto Fiorano) พื้นที่ใต้ท้องรถมีความซับซ้อนมากสุด เพราะจะได้ช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศและสร้างแรงกดได้ดี รวมถึงช่องดักลมและครีบต่างๆ ที่ผสานเข้ากับการออกแบบอย่างกลมกลืน

ภายในห้องโดยสารผสมผสานความหรูหราและเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว ติดตั้งหน้าจออินเทอร์เฟซแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ (มีลักษณะคล้ายกับใน SF90) มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มีปุ่มควบคุมจำนวนมากเพื่อที่ผู้ขับสามารถควบคุมรถได้แบบไม่ต้องละสายตาออกจากพวงมาลัย รวมถึงไฟบอกเกียร์แบบ F1 ด้วย 

เบาะนั่งและพื้นผิวต่างๆ หุ้มด้วยหนัง Italian leather และ Alcantara คุณภาพระดับพรีเมียม คันเกียร์ของเค้าจะเป็นแบบปุ่มกด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเกียร์ธรรมดาแบบเกตเกียร์ของ Ferrari ในอดีต นอกจากนี้ยังมีหน้าจอขนาดเล็กด้านหน้าผู้โดยสาร ที่สามารถแสดงข้อมูลความเร็ว สื่อ และแผนที่ได้ อันนี้เป็น Optional ให้เลือก จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ 

เทคโนโลยีและคุณสมบัติเด่นของ 296 GTB
แน่นอนว่าเทคโนโลยีของทาง Ferrari เค้าจัดเต็มอยู่แล้ว โดยที่หลักๆ และน่าสนใจจะเป็น ระบบเบรก by-wire ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุด ระบบควบคุมเสถียรภาพ (Traction Control, Electronic Stability Control) ที่ช่วยให้รถสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โช้คอัพแม่เหล็กไฟฟ้า (SMC-FRS magnetorheological dampers) ช่วยปรับความแข็งอ่อนของโช้คอัพได้อัตโนมัติ TMA actuator และ 6w-CDS body sensor ช่วยในการควบคุมไดนามิกที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือกดังนี้ 

- eDrive: ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (ระยะทางสูงสุด 25 กม.)
- Hybrid: ใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ
- Performance: เครื่องยนต์ทำงานตลอดเวลาเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และให้กำลังสูงสุด
- Qualify: โหมดที่ให้กำลังสูงสุดสำหรับสมรรถนะในสนามแข่ง (ใช้แบตเตอรี่จนหมด)

Ferrari 296 GTB เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2565 โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 21,900,000 บาท โดยเป็นการนำเข้าแบบ CBU และยิ่งไปกว่านั้น ณ ตอนนี้ราคามือสองของเค้าพุ่งขึ้นไปอีก อันนี้ขึ้นอยู่กับปีและออปชั่นที่เสริมเข้าไป ซึ่งอาจมีราคาสูงถึง 25 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง