
Dodge Charger Daytona รถไฟฟ้าเงียบเกินไปสุดท้ายโดนเรียกคืน!
Dodge เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ V8 HEMI มาเป็นขุมพลังไฟฟ้าใน Charger Daytona ล่าสุดดูเหมือนว่าความ “เงียบ” ของรถรุ่นนี้จะกลายเป็นปัญหาจริงจัง เพราะทำให้ต้องเรียกคืนรถกว่า 8,000 คันในอเมริกา
รถบางคันไม่มีเสียงเตือนสำหรับคนเดินถนนในขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ซึ่งเป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับรถไฟฟ้าและไฮบริดตามกฎหมายสหรัฐฯ ปัญหานี้เกิดจากซอฟต์แวร์ระบบเสียงภายนอกที่อาจอัปโหลดไม่สมบูรณ์
Dodge คาดว่ามีเพียงประมาณ 3% ของรถทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบ และตัวแก้ไขก็ไม่ซับซ้อน แค่ให้นำรถไปอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ดีลเลอร์ โดยจะเริ่มส่งจดหมายแจ้งเจ้าของรถในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ และไม่มีค่าใช้จ่าย
ขณะเดียวกัน Stellantis ยังเรียกคืน Chrysler Pacifica และ Voyager รุ่นปี 2023 อีก 140 คัน จากปัญหาที่ภาพจากกล้องมองหลังไม่แสดงผล ซึ่งมาจากข้อบกพร่องในการเชื่อมชิปประมวลผลภาพกับแผงวงจร โดยคาดว่ามีรถเพียง 2.9% ที่เจอปัญหานี้
ภายนอกสำหรับรุ่นขุมพลังไฟฟ้าจะมาพร้อมกระจังหน้าแบบติดตั้งช่องลมในตัว เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์สูงสุด โดยยังมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางหน้ากว้างที่สุดในประวัติศาสตร์รถ muscle car ของค่ายจากโรงงานที่ 305/35 ที่ล้อคู่หน้า และ 325/35 ที่ล้อคู่หลัง
สำหรับตัวเลขพละกำลังสูงสุดที่ทาง Dodge เคลมเอาไว้ จะเป็นการรวมพละกำลังจากโหมดการทำงาน PowerShoot ที่ทำงานเพียงชั่วขณะเป็นระยะเวลาครั้งละ 15 วินาที และต้องรออีก 30 วินาที ในการจะกดใช้งานอีกครั้ง ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหลังจากใช้ฟังก์ชั่นนี้ จะแตกต่างกันในแต่ละรุ่นย่อย โดยในรุ่นเริ่มต้น R/T จะสามารถเพิ่มพละแรงม้าได้อีก 40 แรงม้า หรือในรูปแบบ Stage 1 โดยแรงม้าในที่ใช้งานได้ในช่วงเวลาปกติจะเหลือเพียง 416 แรงม้า จาก 456 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 548 นิวตัน-เมตร
- อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ / ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที
- เวลาควอเตอร์ไมล์ 13.1 วินาที
ขณะที่รุ่นท๊อป Scat Pack จะมีพละกำลังให้ใช้งานในช่วงเวลาปกติอยู่ที่ 550 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร เนื่องจากฟังก์ชั่น PowerShoot สำหรับรุ่นนี้จะถูกติดตั้งมาให้ในรูปแบบ Stage 2 ซึ่ง Dodge ออกแบบให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น 80 แรงม้า (กลายเป็น 630 แรงม้า) และแน่นอนว่าฟังก์ชั่น PowerShoot จะไม่ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานแต่อย่างใด
อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ / ชม. ภายในเวลา 3.3 วินาที
เวลาควอเตอร์ไมล์ 11.5 วินาที
ทั้งคู่จะใช้แบตเตอรี่ความจุ 100.5 kWh ที่ทำงานภายใต้สถาปัตยกรรมแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 400V จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์คู่ เพื่อให้การกระจายน้ำหนักใกล้เคียงอัตราส่วน 50 : 50 มากที่สุด แม้ตัวถังจะมีน้ำหนักมากก็ตาม โดยในรุ่น R/T สามารถวิ่งได้ไกลสุด 507 กิโลเมตร ขณะที่รุ่น Scat Pack วิ่งได้ไกลสุด 416 กิโลเมตร พร้อมระบบ fast charge กำลังไฟฟ้าสูงสุด 350 kW ทำให้สามารถประจุไฟจาก 20%-80% ได้ภายในเวลา 27 นาที
แม้จะเป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ ทางเทคนิค แต่ในยุคที่ผู้บริโภคจับตารถยนต์ไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนว่า “ความเงียบ” ที่เคยเป็นจุดเด่นของรถ EV อาจกลายเป็นจุดบอดได้ หากไม่ถูกออกแบบอย่างรอบคอบ
ที่มา Carscoops