
เงื่อนไขลดหย่อนภาษี-เงินอุดหนุนรถ EV ปี 2568 มีอะไรบ้าง?
"มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2" หรือ "EV 3.5" ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2570 เรามาเจาะลึกกันค่ะ ว่ามีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์อะไรบ้างที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถ EV คันใหม่ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568)
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อรถ EV มีอะไรบ้าง?
ภายใต้มาตรการ EV 3.5 ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับสิทธิประโยชน์หลักๆ ดังนี้:
1.เงินอุดหนุนโดยตรงจากรัฐบาล:
- รถยนต์นั่งไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท):
- แบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป: รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท/คัน
- แบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh: รับเงินอุดหนุนสูงสุด 50,000 บาท/คัน
- รถกระบะไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท, แบตฯ 50 kWh ขึ้นไป): รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท/คัน
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 150,000 บาท, แบตฯ 3 kWh ขึ้นไป): รับเงินอุดหนุนสูงสุด 10,000 บาท/คัน
2.ราคาขายที่ถูกลง (จากมาตรการลดหย่อนภาษีของผู้ผลิต/ผู้นำเข้า):
- ลดภาษีสรรพสามิต: จากปกติ 8% เหลือเพียง 2% ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และส่งผลดีต่อราคาขายปลีก
- ลดอากรนำเข้า (สำหรับรถ CBU หรือรถนำเข้าทั้งคัน):
- รถ EV ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท: ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40%
- รถ EV ราคาระหว่าง 2 - 7 ล้านบาท: ลดอากรนำเข้าสูงสุด 20% (สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติ)
เงื่อนไขสำคัญที่ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ต้องทำตาม
เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้ บริษัทรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของภาครัฐเช่นกันค่ะ เช่น:
- ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมสรรพสามิต
- ต้องมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 หรือ 2570 ตามสัดส่วนที่กำหนด (เช่น นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตในประเทศ 2-3 คัน) เพื่อส่งเสริมการเป็นฐานการผลิต EV ของไทยในระยะยาว
- อาจมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศในอนาคต
รถประเภทไหนบ้างที่เข้าเกณฑ์?
มาตรการนี้เน้นสนับสนุน รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เป็นหลัก ทั้งรถยนต์นั่ง, รถกระบะไฟฟ้า, และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยรถจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ขนาดแบตเตอรี่ตามเกณฑ์ และราคาขายปลีกไม่เกินเพดานที่ตั้งไว้สำหรับแต่ละขั้นของเงินอุดหนุน
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง: นโยบายเหล่านี้อาจมีการทบทวนหรือปรับปรุงได้ ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพสามิต หรือ BOI เสมอ
- สอบถามผู้จำหน่ายโดยตรง: รถ EV แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ อาจมีรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการและส่วนลดที่ผู้บริโภคจะได้รับไม่เท่ากัน การสอบถามกับโชว์รูมโดยตรงจะให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดสำหรับรถรุ่นที่เราสนใจ
- กรอบเวลาของมาตรการ: EV 3.5 มีระยะเวลาถึงปี 2570 แต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจมีการพิจารณาเป็นระยะ
กรณีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาขายปลีกแนะนำเกิน 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท
ต้องผลิตชดเชยเฉพาะรุ่นที่นำเข้ามา จนครบตามจำนวนการนำเข้ามาในประเทศแบบสำเร็จรูปทั้งคัน ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 (นำเข้า 1 คัน ต้องผลิต 1 คัน) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 (นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน) หากยืดระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี หรือวันที่ 31 ธันวาคม 2568