
‘สรรพสามิต’ ชี้บริษัท EV ขาดสภาพคล่อง
จากกรณี บริษัท เนต้า ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด จะเผชิญกัยความท้าทายและอาจไม่สามารถก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศได้ตามเงื่อนไขของ มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV 3.0) ซึ่งกำหนดให้เนต้าต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยในไทย 1.5 เท่าของยอดรถที่เข้าร่วมมาตรการ หรือประมาณ 19,000 คัน ภายในสิ้นปี 2568 มิฉะนั้นจะต้องคืนเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาล
แหล่งข่าวจาก กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ยอมรับว่าสถานการณ์ของค่ายรถอีวี ”เนต้า“ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดรถอีวี อย่างไรก็ตามผลกระทบมีจำกัดเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับบริษัทเดียว ดังนั้นในภาพรวมจึงไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีรถยนต์
ซึ่งมีแนวโน้มจัดเก็บได้ลดลงอยู่แล้วจากอัตราภาษีอีวีที่อยู่ในระดับต่ำที่ 2% ซึ่งภาพรวมคาดว่าในปีนี้จะเก็บภาษีรถยนต์อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ สรรพสามิต มีการติดตามปัญหาอยู่ตลอดเพื่อให้แน่ใจว่าค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมมาตรการจะผลิตชดเชยในประเทศได้ตามเงื่อนไข จากยอดการนำเข้ารถอีวีในปี 2565-2566 อยู่ที่ 84,000 คัน
สำหรับบางบริษัทที่ผลิตชดเชยในประเทศไม่ทันในปี 2568 ตามมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV 3.0 สามารถนับไปต่อในมาตรการระยะที่สอง หรือ EV3.5 ได้ ซึ่งมีเงื่อนไขที่จะต้องผลิตชดเชยเพิ่ม
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์ขาดสภาพคล่องของบริษัทแม่ในจีนของค่ายรถเนต้า รวมทั้งในไทยเองยังต้องจับตาดูว่าจะคลี่คลายอย่างไร ทั้งนี้ โดยภาพรวมตลาดอีวีไทยคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สะท้อนจากยอดจดทะเบียนรถอีวีกว่า 42,000 คัน ในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ซึงเป็นการขยายตัวกว่า 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ ปัจจุบันในตลาดมีโมเดลรถอีวีหลายรุ่นที่ราคาต่ำกว่ารถยนต์สันดาปทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกมากขึ้น โดยคาดว่ายอดขายรถอีวีในประเทศปีนี้อาจแตะ 8-9 หมื่นคัน หรืออาจสูงถึง 1 แสนคัน ก็เป็นไปได้
“ยอดขายรถอีวีในปีนี้อย่างน้อยที่สุดคาดว่าจะอยู่ที่ 8 หมื่นคัน ซึ่งจะทำลายสถิติสูงสุดใหม่ จากปี 66 ที่มียอดขายถึง 7 หมื่นคัน”
ขณะเดียวกัน ยอดการผลิตรถอีวีในประเทศก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งเพื่อขายในประเทศและส่งออก ซึ่งปี 2568 ถือเป็นปีสุดท้ายที่ค่ายรถที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนอีวี หรือ EV3.0 จะต้องผลิตอัตรา 1.5 เท่า ตามยอดที่นำเข้ามาในปี 2565-2566