Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของเยอรมนี และยังมีแบรนด์รถยนต์ดังๆ ในมืออีกหลายแบรนด์ เตรียมลดคนครั้งใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะประหยัดงบได้มากถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ได้อีกต่อไป เนื่องมาจากบริษัทมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูง แต่มีรายรับที่ต่ำกว่า
Thomas Schaefer (โทมัส เชเฟอร์) ประธานกรรมการบริหาร หรือ CEO ของ Volkswagen กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับโครงการลดต้นทุนของค่าย ซึ่งเป็นก้าวแรกของการขับเคลื่อนองค์กร ในการเปลี่ยนแปลงไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
“ด้วยโครงสร้าง กระบวนการ และต้นทุนที่สูงที่มีอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ในฐานะแบรนด์ Volkswagen อีกต่อไป” Schaefer กล่าวในการประชุมเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานใหญ่ ของผู้ผลิตรถยนต์ในเมือง Wolfsburg ตามโพสต์บนเว็บไซต์อินทราเน็ตของบริษัท
ซึ่ง Volkswagen กำลังพยายามดำเนินโครงการเพื่อเพิ่มผลตอบแทน และแข่งขันกับคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น เช่น Stellantis NV และ Tesla Inc. และยังกล่าวต่ออีกว่า ในปี 2024 จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Volkswagen เนื่องจากการแข่งขันด้านราคารถยนต์ที่รุนแรง จากบรรดาค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ทั่วโลก และรถจีน รวมถึงคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายที่ต่ำกว่าคาดการณ์
โดยระบุว่า “การดำเนินการธุรกิจตามปกติ จะไม่สามารถสร้างกำไรได้เพียงพอ หากไม่มีการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเราต้องจัดการปัญหาสำคัญหลายอย่าง รวมถึงด้านบุคลากรด้วย”
“เราไม่ได้ทำกำไรเพียงพอกับรถยนต์ของเรา เพื่อเป็นเงินทุนในการเปลี่ยนแปลงและอนาคตของเรา จากทรัพยากรของเราเอง” เขากล่าว “หากเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น จะเลือกปิดโรงงานในสถานการณ์เช่นนี้” Schaefer กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทเคยกล่าวไว้ว่ามีแผนที่จะใช้ประโยชน์จาก "เส้นโค้งประชากร" เพื่อลดจำนวนพนักงาน โดยให้คำมั่นว่าจะไม่เลิกจ้างจนกว่าจะถึงปี 2029
ด้านสมาชิกคณะกรรมการทรัพยากรบุคคล Gunnar Kilian (กุนนาร์ คิเลียน) กล่าวว่า การดำเนินการนี้จะบรรลุผลสำเร็จ ผ่านข้อตกลงเกี่ยวกับการเกษียณอายุบางส่วน หรือเกษียณอายุก่อนกำหนด
ด้าน Oliver Blume ผู้จัดการของโฟล์คสวาเก้น ต้องการให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนประมาณ 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2026 ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการเจรจากับสหภาพแรงงาน ในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการตัดลดต้นทุนการดำเนินกิจการผลิตรถยนต์ ภายใต้ยี่ห้อโฟล์คสวาเก้น ซึ่งการเจรจาในประเด็นดังกล่าว ถือเป็นแรงผลักดันในการทบทวนโครงสร้างการผลิตเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ทั้งนี้ แม้จะยังไม่มีข้อสรุปสุดท้ายของการเจรจาจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าโฟล์คสวาเก้น จะตัดลดค่าใช้จ่ายเพื่อเป้าหมายในการประหยัดงบประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
